รูปแบบงานทัศนศิลป์ของวัฒนธรรมต่างๆ
ตัวชี้วัด 1 วิเคราะห์และเปรียบเทียบงานทัศนศิลป์ในรูปแบบตะวันออกและรูปตะวันตก (ศ 1.2 ม.4-ม.6/1)
2 อภิปรายเกี่ยวกับอิทธิพลของวัฒนธรรมระหว่างประเทศที่มีผลต่อทัศนศิลป์ในสังคม (ศ 1.2 ม.4-ม.6/3)
1 งานทัศนศิลป์ของวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก
-ศิลปะตะวันออก
-ศิลปะตะวันตก
2 สรุปรูปแบบงานทัศนศิลป์
แนวคิดหลัก รูแบบงานทัศน์ศิลป์ของแต่ละท้องถิ่น มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับอิทธิพลจากสิ่งต่างๆ เช่น ความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณีของทิองถิ่นนั้น นอกจากนี้ วัฒนธรรมของท้องถิ่นใกล้เคียงยังเป็นอิทธิพลหนึ่งที่มีผลต่อการสร้างงานทัศนศิลป์
งานทัศนศิลป์ของวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก
-ศิลปะตะวันตก
ศิลปะตะวันออก มีรากฐานสำคัญจากศิลปะของอินเดียและจีน เนื่องจากทั้งสองประเทศนี้มีอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่มาเป็นระยะเวลายาวนาน ส่งผลให้ท้องถิ่นใกล้เคียงได้รับอิทธิพลด้านศิลปะจากอินเดียและจีน เช่น ไทย พม่า ลาว ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปวัฒนธรรมจากอินเดีย ส่วนญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ได้รับอิทธิพลจากจีน
ลักษณะของศิลปะตะวันออกมีความเป็นอุดมคติ นั่นคือไม่ยึดหลักความเป็นจริงตามธรรมชาติทั้งหมดจะสร้างสรรค์รูปแบบตามจินตนาการผสานไว้ในงามศิลปะ
ศิลปะตะวันออกได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ เช่น ศาสนา ประเพณี ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ โดยศิลปะตะวันออกจะมีความหลากหลายกันไปในแต่ละท้องถิ่น เนื่องจากมีการนับถือ ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อ ที่แตกต่างกันออกไป ศิลปะอินเดีย
ประเทศอินเดีย เป็นประเทศที่มีอารยธรรมของตนเองและได้รับวัฒนธรรมจากชนชาติอื่นร่วม ได้แก่ เมโสโปเตเมีย อิหร่าน กรีก โรมัน วัฒนธรรมของอินเดียมีอิทธิพลแก่ชนชาติตะวันออกทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะทางด้านศิลปะ ซึ่งได้ขยายอิทธิพลอย่างกว้างขวางไปสู่ภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศิลปะอินเดียนั้นเกิดจากแรงบันดาลใจทางศาสนาและลัทธิความเชื่อต่างๆ เช่น ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า อินเดียเป็นประเทศที่มีการนับถือศาสนาหลากหลาย ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพุทธ ทำให้ศิลปะซึ่งส่วนใหญ่ได้รับแรงบรรดาลใจจากศาสนา มีความแตกต่างกันไปตามความเชื่อของศาสนานั้นๆศิลปะอินเดียแบ่งออกได้ดังนี้ ศิลปะแบบสาญจี เป็นศิลปะสมัยที่เก่าแก่ที่สุด อยู่ในราชวงศ์เมาริยะ และราชวงศ์ศุงกะ (สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช) โดยเป็นช่วงที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรื่อง ส่งผลให้งานศิลปะเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาสถาปัตยกรรม ได้แก่ สถูปต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นรูปโอคว่ำมีฉัตรปักอยู่บนยอดและมีฐานรองรับตัวสถูปลักษณะพุทธศาสนสถานของศิลปะอินเดีย ที่สำคัญอีกออย่างหนึ่ง คือ รั้วและเสา โดยรั้วจะสร้างขึ้นล้อมรอบบริเวณอันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เช่น บริเวณที่พระพุทธเจ้าประทับหรือสั่งสอนพระธรรม หรือล้อมรอบองค์สถูป ส่วนเสานั้นมีวัตถุประสงค์ที่ใช้หลายอย่าง เช่น ใช้สำหรับประดิษฐานสัญลักษณ์ของศาสนา ใช้สำหรับจารึกเรื่องราวต่างๆหรือใช้เป็นเสาโคมไฟ ประติมากรรมส่วนใหญ่จะนำมาประกอบกับสถาปัตยกรรม เช่น ภาพสลักบนรั้วและประตูล้อมรอบสถูปรูปแบบของศิลปะที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในสมัยนี้นิยมใช้สัญลักษณ์แทนรูปมนุษย์ ดังเช่นภาพสลักพระพุทธเจ้า 4 ปราง คือ ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน จะใช้รูปสัญลักษณ์แทน ได้แก่ ดอกบัว ต้นโพธิ์ ธรรมจักร พระสถูป แทนปางเหล่านั้นตามลำดับ
ศิลปะแบบคันธาระ (พุทธศตวรรษที่ 6 หรือ 7) เป็นศิลปะที่มีความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา โดยได้รับอิทธิพลศิลปะจากกรีกและโรมัน และศิลปะในยุคนี้ได้เริ่มประดิษฐ์พระพุทธรูปที่มีรูปลักษณ์ของมนุษย์แต่มีลักษณ์คล้ายชาวกรีกและโรมัน
ศลปะแบบมถุรา (พุทธศตวรรษที่ 6 หรือ 9) ประติมากรรมในยุคนี้นิยมการสลักพระพุทธรูปหรือเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาด้วยหินทราย บางผลงานมีลักษณะของศิลปะกรีกและโรมัน โดยพระพุทธรูปในยุคนี้มีลักษณะคล้ายชาวอินเดียมากขึ้น ศิลปะแบบอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 6 หรือ 7 ) ศิลปะในสมัยนี้มีรูปแบบอุดมคติ เน้นลักษณะแสดงการเคลื่อนไหว ประติมากรรมที่พบคือพระพุทธรูปซึ่งมีลักษณะพระพักตร์คล้ายแบบกรีกและโรมัน ห่มจีวรเป็นริ้วทั้งองค์
ศิลปะแบบคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ 9 หรือ 13) จัดศิลปะสมัยใหม่ ประติมากรรมในสมัยนี้นิยมการสลักรูปนูนสูงมากกว่ารูปลอยตัว ส่วนพระพุทธรูปมีลักษณะอินเดียแท้ ศิลปะที่มีชื่อเสียงในสมัยนี้ ได้แก่ งานจิตรกรรม ซึ่งค้นพบที่ผนังถ้ำอชันตา ด้านสถาปัตยกรรมเริ่มมีการก่อสร้างด้วยอิฐ นิยมสร้างเทวสถานซึ่งมีลักษณะใหญ่โตกว่าในสมัยก่อน
ศิลปะแบบทมิฬ (พุธศตวรรษที่ 14 ) ศิลปะแบบทมิฬหรือดราวิเดียนมีประติมากรรมที่ทำจากหินสำริดและการสลักรูปจากไม้ ส่วนสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่นั้นสร้างจากหินซ้อนกันเป็นชั้นๆ และนิยมสร้างเทวส-
ถาน
ศิลปะแบบปาละเสนะ (พุทธศตวรรษที่ 14-18 ) เป็นศิลปะที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาโดยมีการผสมความเชื่อของลัทธิฮินดูเข้าไป งานประติมากรรม ได้แก่ ภาพสลักจากหิน การหล่อด้วยสำริดโดยพระพุทธรูปในสมัยนี้มีลักษณะการทรงเครื่องมากขึ้น และพบประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์
โดยสรุปแล้ว ศิลปะอินเดียจะมีความเกี่ยวข้องกับศาสนา โดยส่วนมากจะนิยมการสร้างงานประติมากรรมเพื่อการบูชา สถาปัตยกรรมสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวสถานหรือประกอบพิธีทางศาสนา ส่วนจิต-กรรมมักไม่ค่อยกล่าวถึง ซึ่งจิตกรรมอินเดียโดยรวมแล้วมีความเกี่ยวข้องทางศาสนาเช่นเดียวกัน โดยเป็นภาพจิตกรรมฝาผนัง หรือภาพเขียนประกอบคัมภีร์ ซึ่งมีการใช้สีที่สดใส ไม่เน้นแสงเงา
ศิลปะจีน
ชาวจีนนับถือกราบไหว้บรรพบุรุษมาตั้งแต่โบราณกาล มีวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ของคนในสังคมกับธรรมชาติ งานศิลปะของจีนจึงมีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ สังคมและธรรมชาติ ได้มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีของจีนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายอย่าง เช่น เครื่องปั้นดินเผาหม้อสามขา แสดงให้เห็นว่าสังคมชาวจีนมีรากฐานมาจากการเกษตร มีความรู้ทางฝีมือช่างมายาวนาน
ประติมากรรมของจีนที่มีมาแต่โบราณได้แก่ภาชนะต่างๆ ที่ทำด้วยสำริด ใช้สำหรับงานพิธีกรรม การเคารพบรรพบุรุษ ภาชนะนิยมตกแต่งด้วยรูปสัตว์หรือรูปเกี่ยวกับธรรมชาติ มีประติมากรรมหลายชิ้นที่พบแสดงให้เห็นถึงความเชื่อด้านศาสนา เช่น รูปสลักหินทีมีเรื่องราวเกี่ยวกับเทพนิยายตามความเชื่อของลัทธิเต๋า หรือรูปเคารพที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ ประติมากรรมที่มีชื่อเสียงของจีน ได้แก่ การแกะสลักหยกเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ และเครื่องเคลือบที่มีความแข็งแรง ลวดลายสีสันสวยงาม
จิตกรรมของจีนจะสัมพันธ์กับธรรมชาติ โดยการใช้สีและเส้นอ่อนช้อยงดงาม เต็มไปด้วยพลัง นอกจากธรรมชาติแล้ว จิตกรรมจีนยังได้รับอิทธิพลจากปรัชญาทางพระพุทธศาสนา ลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื๊อ จึงปรากฏภาพพุทธประวัติควบคู่ไปกับสวรรค์
สถาปัตยกรรมของจีนที่มีชื่อเสียงที่สุด คือกำแพงเมืองจีน สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์จิ๋นเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางเหนือ นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมอื่นๆ เช่น เจดีย์ที่มีหลังคาทุกชั้น ภายในอาคาตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ
ศิลปะขอม
ชนชาติขอมเป็นชนชาติหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลรูปแบบศิลปะจากอินเดียในระยะเริ่มแรกนั้นศิลปะขอมมีลักษณะคล้ายกับศิลปะอินเดียมาก ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาเป็นรูปแบบของตนเอง ซึ่งจะพบงานด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรมเป็นส่วนมาก
สถาปัตยกรรมของขอมส่วนใหญ่ได้รับแบบอย่างมาจากอินเดีย แต่มีลักษณะของศิลปะจีนร่วมด้วยและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับศิลปะของตนเอง
วิหารของขอมได้รับอิทธิพลจากอินเดีย โดยสถาปนิกได้สร้างงานสถาปัตยกรรมของตนขึ้นมาเป็นรูปแบบของขอม ส่วนหลังคาแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของจีน แต่เสาสี่เหลี่ยมที่มีหัวเสารูปครุฑยังคงเป็นรูปแบบของขอมโดยมีการประดับด้วยประติมากรรมต่างๆ
ศิลปะไทย
ชนชาติไทยเป็นชนชาติที่มีการผสมผสานกันในหลายเชื้อชาติ ทั้งมอญ เขมร มลายู ดังนั้นวัฒนธรรมไทยจึงได้รับอิทธิพลจากชนชาตินั้นด้วยโดยชนชาติเหล่านั้นเองต่างก็ได้รับอิทธิพลจาก อารยธรรมอินเดีย ศิลปะไทยจึงมีลักษณะคล้ายกับศิลปะอินเดีย
ศิลปะไทยมีรูปแบบเฉพาะในเรื่องความอ่อนหวาน และได้สอดแทรกวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และความรู้สึกของคนไทยไว้ในงานอย่างลงตัวศิลปะไทยเริ่มต้นตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ซึ่งมีการค้นพบเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่ ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี รวมถึงภาพที่เกี่ยวกับพิธีกรรมและการใช้ชีวิต
ศิลปะสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16)
ศิลปะสมัยทวารวดีสร้างขึ้นเพื่อพระพุทธศาสนานิกายมหายาน การสร้างพระพุทธรูปสมัยนี้ ระยะแรกเป็นการเรียนแบบศิลปะคุปตะของอินเดีย ต่อมาจึงพัฒนามาเป็นรูปแบบของตนเอง งานประติมากรรมในสมัยนี้เป็นงานสำริดดินเผาไฟ และปูนปั้น สันนิษฐานว่าศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่บริเวณ จังหวัดนครปฐม
ศิลปะสมัยศรีวิชัย(พุทธศตวรรษที่ 13-14)
สันนิฐานว่าอาณาจักรศรีวิชัยมีอาณาเขตตั้งแต่บริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ไปจนถึงเกาะสุมาตราและเกาะชวา ศิลปะสมัยศรีวิชัยได้แพร่เข้ามาพร้อมกับศาสนาพุทธแบบมหายานและศาสนาฮินดู จึงมักพบประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์
ศิลปะสมัยลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 16-18)
อาณาจักรลพบุรีหรือละโว้ มีอาณาเขตบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของงประเทศไทย ศิลปะไทยในสมัยลพบุรีได้รีบอิทธิจากขอมซึ่งเป็นศิลปะที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธนิกายมหายานกับศาสนาฮินดู ประติมากรรมมักสร้างขึ้นจากโลหะและการสลักหิน ด้านสถาปัตยกรรมนิยมสร้างประสาทหิน เช่น ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ศิลปะล้านนา (พุทธศตวรรษที่ 18-23)
อาณาจักรล้านนาหรือเชียงแสน มีศูนย์กลางอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยพบโบราณสถานและโบราณวัตถุจำนวนมากที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ ศิลปะสมัยนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ประติมากรรมที่ปรากฏ ได้แก่ พระพุทธรูปและลวดลายประดับโบราณสถาน
ศิลปะสมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19-20)
อาณาจักรสุโขทัยมีศูนย์กลางอยู่บริเวณจังหวัดสุโขทัย ศิลปะสุโขทัยได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ ประติมากรรมในสมัยสุโขทัยมีรูปแบบที่งดงาม นิยมหล่อพระพุทธรูปด้วยโลหะผสมสำริด ศิลปะประยุกต์ที่มีชื่อเสียงอีกอย่างหนึ่งคือ เครื่องสังคโลก ซึ่งเป็นเครื่องเคลือบดินเผาที่มีการเขียนสวดสายต่างๆลงบนเครื่องปั้น
ศิลปะสมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 19-24)
อาณาจักรอยุธยามีศูนย์กลางอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา รูปแบบทางศิลปะในสมัยนี้มีความหลากหลายเนื่องจากอาณาจักรมีระยะเวลายาวนาน โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์
ด้านประติมากรรมส่วนใหญ่จะเป็นพระพุทธรูปที่มีรูปแบบเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยพระพุทธนิยมหล่อด้วยสำริด ในสมัยอยุธยาตอนต้นพระพุทธรูปเป็นศิลปะแบบอู่ทอง ซึ่งเป็นการผสมผสานศิลปะทวารวดีกับลพบุรี ด้านสถาปัตยกรรมซึ่งนอกเหนือจากด้านศาสนาและพระมหากษัตริย์แล้ว ได้มีสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยของประชาชนด้วย สถาปัตยกรรมด้านศาสนาและพระมหากษัตริย์ที่ปรากฏในสมัยอยุธยาช่วงแรกคือ พระปรางและเจดีย์ตามแบบอย่างศิลปะของลพบุรีและสุโขทัย ด้านจิตกรรมจะมีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาดก พุทธประวัติจิตกรรมที่ปรากฏ ได้แก่ การจำหลักลายเส้นบนแผ่นหิน
ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ (พุทธศตวรรษที่ 25-ปัจจุบัน)
ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นศิลปะที่ถ่ายทอดมาจากศิลปะอยุธยา เริ่มต้นตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่1)ทรงสถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นราชธานีจนถึงปัจจุบัน ด้านประติมากรรม ในช่วงแรกรูปแบบงานยังคงสืบทอดมาจากสมัยอยุธยา จนถึงสมัยรัชกาลที่3ได้มีอิทธิพลจากศิลปะจีนเข้ามาจากการนำเข้ารูปสลักฝีมือช่างชาวจีนมาประดับอาคาร ในสมัยราชกาลที่4-6ได้มีการติดต่อกับชาวต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศทางตะวันตก ทำให้ศิลปะตะวันตดหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย
ด้านสถาปัตยกรรม นะยะแรกเป็นการสืบทอดแบบจารึกศิลปะอยุธยาแต่มีการตกแต่งประดับประดามากขึ้น ในสมัยรัชกาลที่3 มีแบบสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า “อย่างนอก” คือแบบลายจีนเข้ามา มีการตกแต่ง ศาสนสถานเป็นลวดลายแบบจีน เช่น อุโบสถวัดราชโอรส ด้านจิตกรรมมีทั้งรูปแบบของไทยและแบบร่วมสมัย ในช่วงแรกยังคงเน้นการวาดภาพประดับฝาผนังโบสถ์ วิหาร โดยใช้สีที่มีความหลากหลายมากกว่าในสมัยอยุธยา นิยมปิดทองคำเปลวเพื่อให้ภาพดูสวยงามต่อมาได้มีการผสมผสานกับศิลปะตะวันตก ทำให้วิธีการวาดภาพ การใช้สี มีความหลากหลาย ภาพที่วาดมีความเหมือนจริงและเป็นแบบ 3 มิติ
ศิลปะตะวันตก
ศิลปะสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ยุคหินเก่า (Old Stone หรือ Paleolithic) ประมาณ 1,000,000-10,000 ปี ก่อนคริสตกาล มนุษย์หินเก่าในทวีปยุโรปมีวิวัฒนาการรวดเร็วกว่าในภูมิภาคอื่นๆ เนื่องจากพบหลักฐานงานศิลปะด้านประติมากรรมที่สำคัญ คือ ภาพจำหลักสตรี ซึ่งเรียกกันว่า วีนัสแห่งวิวเลนดอร์ฟ ถูกค้นพบในประเทศออสเตรีย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อสัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์ ด้านจิตกรรมพบภาพเขียนเลียนแบบธรรมชาติไม่มีลักษณะของจินตนาการที่ผิดแปลกไปจากความจริง ปรากฏอยู่บนผนังถ้ำอัลตามิรา ศิลปะสมัยประวัติศาสตร์
สมัยเมโสโปเตเมีย(3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือ 5000 ปีมาแล้ว)
ศิลปกรรมสมัยเมโสโปเตเมียสร้างสรรค์ขึ้นจากภูมิปัญญาของชนเผ่าต่างๆที่สลับสับเปลี่ยนกัน มีลักษณะเด่นชัดในด้านประติมากรรม เช่นชาวสุเมเรียนทำอิฐจากดินเหนียวและฟางซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าหินแต่ก็มีความทนทาน
สมัยอียิปต์ (3500 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือ 5500 ปีมาแล้ว)
อารยธรรมอียิปต์ได้ชื่อว่าเป็นของขวัญจากแม่น้ำไนล์ ภูมิศาสตร์ในลุ่มแม่น้ำไนล์มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำไนล์ก็ประกอบด้วยหินแกรนิตและหินทรายซึ่งเป็นวัสดุที่สำคัญในการก่อสร้าง
ยุคอาณาจักรเก่า
ลักษณะศิลปกรรมในยุคหินเก่า นิยมสร้างประติมากรรมเป็นแท่ง มีทั้งแบบนูนและลอยตัว ด้านจิตกรรมนิยมเขียนฝาผนังในสุสาน มีลักษณะเป็นสองมิติ นิยมตัดเส้นรูปคน นิยมเขียนด้านข้างของใบหน้า
ศิลปะสมัยใหม่
ในระยะแรกศิลปะสมัยใหม่มีลักษณะแบบนีโอคลาสสิก ซึ่งมีรากฐานอยู่บนเหตุผลและมีแบบแผนเช่นเดียวกับศิลปะกรีกและโรมันความงามของศิลปะจึงปากฎออกมาในรูปของสัดส่วนที่ถูกต้องตามหลักกายวิภาค
ศิลปะในศตวรรษที่ 20
ในสมัยนี้มีรูปแบบของศิลปะเกิดขึ้นมาหลายลัทธิ เช่น ลัทธิโฟวิซึม
ลัทธิโฟวิซึม เป็นลัทธิที่แสดงออกถึงความรุนแรง ตื่นเต้นเริ่มขึ้นในฝรั่งเศสโดยมีอองรี มาตีส เป็นผู้นำกลุ่ม
สรุปแบบงานทัศนศิลป์
ศิลปะตะวันออก
ศิลปะตะวันออกจัดเป็นศิลปะแบบ Idealistic Art ซึ่งเป็นงานสร้างสรรค์ผลงานจากจินตนาการ โดยใช้รูปแบบของธรรมชาติเป็นพื้นฐาน แต่ไม่ยึดติดความเหมือนจริงตามธรรมชาติเกินไป ศิลปะตะวันออกมีมีลักษณะเด่นในด้านอกลักษณ์ ที่มาจากความคิดประดิษฐ์ซึ่งอย่างวิจิตรบรรจงของคนในชาติ โดยศิลปะรุ่นต่อมาคงรักษาแนวคิดเดิมไว้ แต่รูปแบบอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามยุคสมัย
ศิลปะตะวันตก
ศิลปะตกจัดเป็นศิลปะเสมือนจริง เนื่องจากศิลปะได้สร้างสรรค์ผลงานโดยยึดความเหมือนจริงตามธรรมชาติ ทั้งเรื่องแสง-เงา สีสัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลงานของศิลปะตะวันตกจะมีรูปแบบตามธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ เช่น ประติมากรรมรูปมนุษย์หรือสัตว์
ศิลปะตะวันตกมักคิดหาวิธีการสร้างสรรค์งานศิลปะใหม่ๆ เพื่อหาแนวทางของตน ทำให้ผลงานของศิลปะแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกัน เช่นการสร้างสรรค์ผลงานขอองปาโบล ปิกัสโซ ที่ใช้วิธีการตัดทอน รายระเอียดของรูปภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น