ทฤษฎีการวิจารณ์ศิลปะ

ทฤษฎีการวิจารณ์ศิลปะ
แนวคิดหลัก ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า การวิจารณ์มีประโยชน์ต่อวงการศิลปะเป็นอย่างมาก การประเมินและการวิจารณ์ผลงานทัศนศิลป์ จะช่วยให้ผู้วิจารณ์สามารถใช้ความรู้ความสามารถของตนเองในการประเมินและวิจารณ์ผลงานทั้งของตนเองและผู้อื่น ได้อย่างเหมาะสม
ความหมายของการวิจารณ์และศิลปะวิจารณ์
    การวิจารณ์ หมายถึง  การแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามความรู้ ความเข้าใจ และจากประสบการณ์ของผู้วิจารณ์ พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมต่อสิ่งที่พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชม หรือการชี้แนะผลงานนั้นๆ ทั้งนี้กาวิจารณ์จะต้องมีเหตุมีผล เพื่อที่ผู้สร้างผลงานจะได้นำไปปรับปรุงผลงานให้ดียิ่งขึ้นโดยสุจริต 
   ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของคำว่า “วิจารณ์” ว่าหมายถึง “ให้คำตัดสินที่เป็นศิลปกรรมหรือวรรณกรรม เป็นต้น  โดยผู้มีความรู้ควรเชื่อถือได้ ว่ามีค่าความงามความไพเราะดีอย่างไร หรือมีข้อขาดตกบกพร่องอย่างไรบ้าง” ส่วนการติชม มักใช้คำว่า วิพากษ์วิจารณ์
   ศิลปวิจารณ์ คืออะไร พจนานุกรมศัพท์ศิลปะฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายว่า “ศิลปะวิจารณ์คือการวิพากษ์วิจารณ์ผลงานทางศิลปะซึ่งศิลปินได้สร้างสรรค์ขึ้นไว้โดยให้ความเห็นตามกฎเกณฑ์และหลัการศิลปะของแต่ละสาขา ทั้งในด้านสุนทรียศาสตร์และปรัชญาสาขาอื่น ๆ ไม่ว่าจะในรูปแบบการวิจารณ์เป็นเช่นไร จะเป็นแบบการพูด การบรรยายหรือข้อเขียนใดๆ ก็ตาม ที่จะเป็นเครื่องชี้วัด และตัดสินคุณค่าในงานศิลปะ”
   การแสดงความคิดเห็นทางศิลปะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับทุกคนที่จะติชมหรือเรียกว่าให้ความวิจารณ์ตามความคิดเห็นของตน แค่คำวิจารณ์ควรจะเป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ใจ  มิใช่เพื่อหวังผลทางการค้าหรือกลั่นแกล้ง เพราะคำวิจารณ์อาจพลิกความรู้สึกของผู้ชมงานศิลปะให้ไขว่เขวได้ คือเห็นศิลปกรรมว่าชั้นสามัญว่าดีที่สุดและเห็นศิลปะชั้นเยี่ยมที่สุดเป็นธรรมดาสามัญ ดังนั้นคำวิจารณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ศิลปะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี กล่าวว่า การวิจารณ์ที่จะให้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์นั้นมีหลักสำคัญๆ ดังนี้
  1. จิตวิจารณ์ คือ วิจารณ์ในแง่ความรู้สึก
  2. อรรถวิจารณ์ คือ ในแง่แปลความหมาย
  3. วิพากษ์วิจารณ์ คือ วิจารณ์ในแง่พิพากษาตัดสิน
   อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นในด้านการวิจารณ์ศิลปะนี้ เอดมันส์ เฟลด์แมน นักปราชญ์คนสำคัญอีม่านหนึ่ง ได้จำแนกหลักการวิจารณ์ออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. การวิจารณ์แบบนักหนังสือพิมพ์ คือ การเสนอข่าวสารแกผู้อ่าน เป็นการเขียนแนะนำผลงานที่ผู้อ่านอาจไปหาชมได้ด้วยตัวเอง
2. การวิจารณ์แบบครู คือ การเสริมความรู้เกี่ยวกับเรื่องของสุนทรียศาสตร์ และทางศิลปะ เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้นและเร้าใจ
3. การวิจารณ์แบบนักวิชาการ เป็นการวิเคราะห์แบบแปลความหมาย และประเมินคุณค่างานศิลปะที่มีความงามและความละเอียดรอบคอบ
4. การวิจารณ์แบบสามัญทั่วไป เป็นการวิจารณ์ตามทัศนคติส่วยตัว ตามความรู้ ตามความเข้าใจของเขา ลักษณะเช่นนี้จะมีผลสะท้อนต่อวงการศิลปะและอาจเกิดผลลบได้
  คุณสมบัติของผู้วิจารณ์งานทัศนศิลป์
1. เป็นผู้มีความรู้ในงานทัศนศิลป์
2. เป็นผู้ที่มีความรอบรู้ สามารถเชื่อมโยงวิชาความรู้สาขาอื่นๆ เข้ากับงานทัศนศิลป์ได้เป็นอย่างดี
3. เป็นผู้ที่มีใจกว้าง ยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่น
4. เป็นผู้ที่ใช้ภาษาในการสื่อสารได้ดี
5. เป็นนักคิด นักค้นคว้า มีความสนใจในสิ่งใหม่ ๆ และศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ
  บทบาทและหน้าที่ของผู้วิจารณ์
   บทบาทและหน้าที่ของผู้วิจารณ์ที่หนักและที่ยากยิ่งคือการประเมินคุณค่า เพราะการวิจารณ์ต้องทำหน้าที่เหมือนผู้พิพากษา วิพากษ์ผลงานศิลปะและเข้าไปเกี่ยวข้องกับตัวศิลปินอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดวิวาทะระหว่างผู้วิจารณ์กับศิลปินอยู่เป็นเนื่องๆ นานนับร้อยปีมาแล้วในประวัติศาสตร์
   สิ่งที่ยากที่สุดของผู้วิจารณ์คือการประเมินคุณค่าผลงานที่ใหม่ล้ำยุคมาก และการประเมินคุณค่าผลงานที่ถูกลืมหรือสูญหายไปจากวัฒนธรรมนานแล้ว ผู้วิจารณ์จะต้องรอบคอบ รอบรู้ และมีจิตใจที่เปิดกว้าง อีกทั้งจะต้องมีมิติของทัศนะที่ลุ่มลึก
  ขั้นตอนและวิธีการในการวิจารณ์ผลงานทัศนศิลป์
   การเรียนรู้ขั้นตอนและวิธีการในการวิจารณ์ผลงานทัศนศิลป์ ก็เพื่อให้ผู้วิจารณ์สามารถนำวิธีการไปใช้ในการปฏิบัติจริงได้  ขั้นตอนและวิธีการ  มีดังนี้
   1.ขั้นการบรรยาย
   การบรรยาย เป็นขั้นตอนของกระบวนการบันทึกข้อมูลสิ่งต่างๆ จากการสังเกต มองเห็น และพบเจอในผลงานศิลปะ
   2.ขั้นการวิเคราะห์
   การวิเคราะห์ เป็นขั้นตอนการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ที่มีในผลงาน การใช้ภาษาทางทัศนศิลป์
   3.ขั้นการตีความหมาย
   การตีความหมาย เป็นกระบวนการที่ผู้วิจารณ์แสดงออกถึงความหมายต่างๆ ในผลงานอย่างละเอียดถี่ถ้วน สามารถพิจารณาได้ว่าผลงานทัศนศิลป์ชิ้นนั้นๆ มีแนวคิดอย่างไร เพราะผลงานทุกผลงานล้วนต้องการตีความทั้งสิ้น
   4.ขั้นประเมินคุณค่า
   การประเมินคุณค่าของผลงานทัศนศิลป์ เป็นขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำคัญ เพราะมีการเปรียบเทียบกับผลงานชิ้นอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันว่ามีคุณค่าทางทัศนศิลป์และมีสุนทรียภาพมากน้อยต่างกันเพียงใด
  เป้าหมายของการวิจารณ์ผลงานงานทัศนศิลป์
1. เพื่อให้ผู้วิจารณ์ได้แสดงออกทางความคิดเห็น และติชม ต่อผลงาน
2. เพื่อให้ผู้วิจารณ์มีข้อมูลและความพร้อมในการวิจารณ์ผลงานทางทัศนศิลป์ทุกสาขา
3. เพื่อเป็นการถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ของผู้วิจารณ์ให้กับผู้ที่สนใจได้อย่างถูกต้อง
4. เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ความรู้เกี่ยวกับวงการทัศนศิลป์ต่อผู้ที่สนใจ ให้นำไปใช้ประโยชน์หรือเป็นแนวทางในการพัฒนางานทัศนศิลป์ได้
5. เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ความรู้เกี่ยวกับผลงานทัศนศิลป์ สามารถชื่นชมผลงานทางทัศนศิลป์ได้
6. เพื่อให้เห็นคุณค่าของงานทัศนศิลป์และได้สัมผัสในรสของศิลปะ
   การทำแฟ้มสะสมงานทัศนศิลป์
   การจัดทำแฟ้มสะสมงาน เป็นสิ่งสำคัญต่อผลงานของตนเอง เพราะผลงานแต่ละชิ้นที่นำมารวบรวมไว้นั้น เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการและวามก้าวหน้าของตนเอง
  ความหมายของแฟ้มสะสมงาน
   แฟ้มสะสมงาน คือ การรวบรวมผลงานของตัวเอง ที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งที่กำหนด ออกมาเป็นรูปเล่ม มีรายละเอียดเกี่ยวกับผลงาน เพื่อสะท้อนความคิดเห็น ภาพแห่งความสำเร็จ และรูปแบบงานของตนเอง
วัตถุประสงค์ของการจัดทำแฟ้มสะสมงาน
1. เพื่อให้ผู้สอนใช้เป็นเครื่องมือในการวัดผลพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน
2. เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสะท้อนความคิดเห็นที่เกิดจากการเรียนรู้
3. เพื่อเป็นเครื่องมือให้กับผู้สอนในการพัฒนาการเรียนการสอน
ส่วนประกอบของแฟ้มสะสมผลงานทัศนศิลป์
1. ปก ระบุชื่อผู้เรียน เลขประจำตัว ชื่อโรงเรียน โดยออกแบบปกให้สวยงาม
2. คำนำ บอกถึงเหตุผลในการจัดทำแฟ้มสะสมงาน
3. สารบัญ เรียงหัวข้อให้เป็นระเบียบ เพื่อสะดวกในการค้นหาผลงาน
4. ประวัติส่วนส่วนตัว บอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเอง
5. กิจกรรม บันทึกกิจกรรม / ภาระงานที่ได้รับมอบหมาย
6. บันทึกการปฎิบัติงานและแหล่งเรียนรู้ เขียนบอก วัน เดือน ปี สถานที่ หรือแหล่งค้นคว้าในการเรียนรู้และปฎิบัติงาน
7. วิธีปฎิบัติงาน อธิบายขั้นตอนตั้งแต่ขั้นเตรียม ขั้นปฎิบัติ และขั้นสรุปผลงาน
8. ผลงาน / การประเมิน บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผลงานที่นำมาเก็บไว้มนแฟ้มสะสมงานทัศนศิลป์
9. แบบประเมินเพิ่มเติม เป็นประเมินที่นักเรียนใช้ประเมินตนเอง หรือผู้อื่นป็นคนประเมินนีกเรียน
10. ภาคผนวก เป็นส่วนของข้อมูลเพิ่มเติม
 ประโยชน์ของการจัดทำแฟ้มสะสมงาน
   การจัดทำแฟ้มสะสมงานทัศนศิลป์  เป็นการรวมรวมผลงานที่ผู้เขียนสร้างสรรค์ขึ้นมา  ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้เรียน  โดยจะเป็นเครื่องมือสำหรับสะท้อนความภาคภูมิใจที่เกิดจากการใช้จินตนาการสร้างสรรค์ผลงานมีโอกาสทบทวนเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ออกมาเป็นผลงานที่มีคุณภาพ นอกจากนี้การทำแฟ้มสะสมงาน ทัศนศิลป์ ยังเป็นประโยชน์ในการศึกษาต่อรวมถึงการทำงาน เพราะเป็นเครื่องการันตีความสามารถได้เป็นอย่างดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น